"Civilization"

My Blogg ! อาณาจักรเก่าแก่อารยธรรมโบราณ ...


                ผู้คนจำนวนมากอาจคิดว่า อารธรรมโบราณนั้นล้าสมัยมาก อย่างไรก็ตาม จากแหล่งโบ ราณสถาณ อย่างเช่น ปิรามิดในอียิปต์ ซากปรักหักพังในตอนกลางและตอนใต้ของอเมริกา หรือหินที่วางเรียงกันเป็นวงกลมในอังกฤษ เราจะพบว่า มันไม่เป็นการง่ายเลยที่จะสร้างขึ้นมา แม้ว่าจะใช้ความรู้ทางวิศวกรรมและเทคโนโลยีในปัจจุบันนี้ คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่า บล๊อคชิ้นส่วนที่ใหญ่โตมโหราฬของโครงสร้างเหล่านี้ถูกตัด เคลื่อนย้าย และวางรวมกันอย่างแม่นยำได้อย่างไร? มันถูกตรวจสอบแล้วว่า ก้อนหินนั้นถูกตัดด้วยวิธีไฟฟ้า-อัลตร้าซาวด์ และถูกเคลื่อนย้ายเหนือพื้นดินโดยเทคนิคต่อต้านแรงโน้มถ่วง



      
      อาณาจักรที่เก่าแก่ยืนนานที่สุดในโลกที่เป็นอารยธรรมของ"มนุษย์โลก"จริงๆนั้น คือ มู:ทวีปแห่งมารดร ระยะเวลาของอาณาจักรนี้ว่ากันว่า
ย้อนหลังไปถึง 78,000 ปีที่แล้ว บนทวีปขนาดใหญ่ที่มีชื่อตามภาษาโบราณว่า มู หรือที่คนสมัยใหม่เรียกเลมูเรียตามชื่อของลิงชนิดหนึ่ง และเจริญรุ่งเรืองอย่างยาวนานมาอย่างน้อยก็ถึง 52,000 ปีที่ผ่านมา แต่ก็มีบางแหล่งเหมือนกันครับที่ระบุว่า มูไม่ได้มีอายุยืนยาวถึงขนาดนั้น แต่ก่อตัวเมื่อประมาณ 26,000 ปีก่อนและพังพินาศลงด้วยภัยพิบัติPole shift หรือขั้วโลกพลิกเมื่อ 24,000 ปีที่ผ่านมาแล้ว สาเหตุประการหลังนี่แฟนๆเรื่อง MMR คงคุ้นๆกันอยู่
       อย่างไรก็ตาม มูมิได้สูงส่งด้วยวิทยาการไฮเทคดังอาณาจักรหลังๆที่รุ่งเรืองตามมา แต่อารยธรรมของมูเป็นอารยธรรมด้านจิตวิญญาณสังคมของอาณาจักรนี้บูชาความรู้และศัรทธาโดยเฉพาะ ซึ่งต่างจากแอตแลนติสที่สัญลักษณ์ของอาณาจักรนี้คือเทคโนโลยีและนวัตกรรม เรื่องราวของมูผมเรียบเรียงเอาไว้แล้ว (และก็ยังไม่จบ -_-")ถ้าสนใจก็หาอ่านกันได้ ถ้าใครที่อยากอ่านจนจบก็รออีกหน่อยนึงนะครับ เอาเป็นว่า นางงามผู้ครองมงกุฏ Top Ten ของเราก็คืออาณาจักรมูนี่แหละ


          ว่ากันว่าไม่นานนักหลังจากที่ทวีปมูจมลง ความเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาได้ทำให้แผ่นดินแห่งนึงผุดขึ้นบริเวณคาบสมุทรแปซิฟิค อารยธรรมที่รุ่งเรืองของมูได้หายไปกับภัยพิบัติครั้งนั้น แต่ไม่ได้รวมถึงอาณาจักรอีกแห่งที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นในช่วงปลายยุคของมู 
         ดินแดนที่ว่าเป็นเสมือนอาณาจักรในม่านหมอกในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติครับ เพราะจนถึงปัจจุบันนี้ ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่ามันตั้งอยู่บนดินแดนไหนของโลก อย่าว่าแต่ที่ตั้งเล๊ย... อาณาจักรนี้จะมีตัวตนอยู่จริงหรือเป็นเพียงตำนานก็ยังหาคนมายืนยันไม่ได้ด้วยซ้ำ ถึงกระนั้นคนส่วนใหญ่ก็ยังเชื่อครับ ว่าครั้งหนึ่งโลกของเรา เคยมีอาณาจักรที่สูงส่งด้วยวิทยาการแต่ประสบความพินาศเพราะภัยสงครามนามว่าแอตแลนติสอยู่จริงๆ เชื่อกันว่าอาณาจักรแอตแลนติสมีความก้าวหน้าทางวิทยาการเอามากๆ ก้าวหน้าชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อนนับแต่โบราณกาลจวบจนปัจจุบัน โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการทำลายล้างเป็นเทคโนโลยีที่เป็นตัวแทนของแอตแลนติสเลยทีเดียวครับ เหตุผลที่อาณาจักรโบรารแห่งนี้เน้นเทคโนโลยีด้านสงครามก็อาจเป็นเพราะ ต้องปกครองอาณานิคมที่กระจัดกระจายอยู่รอบโลก แถมยังต้องทำสงครามกับทวีปอื่นๆที่รุ่งเรืองมาในยุคไล่ๆกัน ตำราบางเล่มกล่าวถึงการรบกันระหว่างแอตแลนติสกับอาณาจักรทางฝั่งอินเดียโบราณไว้อย่างน่าดูชม ดูเหมือนภาษาสันสกฤตโบราณจะขนานนามของชาวแอตแลนติสว่า อัศวินหรือนักรบ อืมห์... ก็ตรงตัวดีอยู่แหละ
        หลายตำนานกล่าวตรงกันว่า แอตแลนติสมาถึงจุดหายนะเพราะภัยสงคราม เนื่องจากการใช้อาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงอย่างไม่ยั้งคิดนั่นเอง จุดจบของแอตแลนติสน่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับมนุษย์เราในปัจจุบันได้ไม่มากก็น้อย ตราบที่เรายังไม่ยุติการแก้ปัญหาด้วยกำลัง หรือกระหายสงครามอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้



         นับว่าฟ้ายังเข้าข้างอยู่ไม่น้อย ที่ตำรับตำราโบราณของทางอินเดียไม่ได้ถูกม้วนหายไปกับวังวนทางประวัติศาสตร์มากนัก หลายๆชาติต้องพบกับความเจ็บปวดใจ ที่บันทึกโบร่ำโบราณถูกทำลายไปเสียหมดสิ้น ถ้าไม่เพราะภัยพิบัติก็ฝีมือมนุษย์ด้วยกันนี่แหละครับ การเผาตำรา-ฆ่านักปราชญ์ของฉินสื่อหวง(จิ๋นซีฮ่องเต้) การเผาคัมภีร์สำคัญของอียิปต์ตามคำสั่งของผู้นำอิสลาม หนังสือโบราณของมายา อินคาหรือแม้แต่ชาวเกาะอีสเตอร์ก็ถูกชาวตะวันตกเผาทำลายสิ้น เคราะห์ดีที่ทางอินเดียยังมีสิ่งเหล่านี้เหลืออยู่อีกเยอะ อย่างน้อยก็เยอะมากพอที่จะให้คนรุ่นหลังอ้าปากค้างอย่างอัศจรรย์ใจ ในความเป็นมาและเป็นไปของอาณาจักรโบราณแห่งดินแดนภารตะนี้ได้แหละน่า
                                                
          
        บทเรียนในวิชาประวัติศาสตร์สอนเราว่า อารยธรรมอินเดียเริ่มขึ้นประมาณห้าพันปีที่ผ่านมา แท้ที่จริงอารยธรรมแห่งนี้ยาวนานย้อนหลังไปกว่าที่เรารู้จักมากนักครับ ก่อนหน้านี้ วงการประวัติศาสตร์รู้จักอินเดียโบราณในแง่ของอาณาจักรใหญ่ ที่เคยรบพุ่งกันอย่างเอาเป็นเอาตาย กับกองทัพของอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาซีโดเนีย มีอารยธรรมที่รุ่งเรืองอย่างน่าทึ่ง ครั้นพอมีการตั้งไซต์ทางโบราณขึ้นที่หุบแห่งความตาย เฮนโจ ดาโร นักประวัติศาสตร์จึงเริ่มเอะใจเกี่ยวกับอาณาจักรโบราณแถบลุ่มน้ำสินธุแห่งนี้ เพราะหลักฐานทั้งหลายแหล่ที่พบล้วนบ่งบอกว่า ดินแดนแห่งนี้มีความเป็นมาและเป็นไปที่ไม่ธรรมดาเอาเสียจริงๆ
       ที่ว่าไม่ธรรมดาคือการสร้างเมืองโมเฮนโจ ดาโร กับ ฮารัปปา (Harappa) นั้นดูเหลือกำลังของคนโบราณจะทำได้ เมืองทั้งเมืองถูกวางผังเอาไว้อย่างดีก่อนสร้าง ด้วยแปลนที่เหมือนกับวิศกรหย่ายสมัยศตวรรษที่ 20 เป็นคนเขียน แถมด้วยระบบระบายน้ำที่อัศจรรย์เหลือเชื่อ มัน advance ถึงขั้นที่ว่าทันสมัยและดีเยี่ยมกว่าเมืองหลวงของหลายชาติในเอเชียปัจจุบันเสียด้วยซ้ำ



      ในยุคสมัยของแอตแลนติสและ Rama Empire (ครั้นจะเรียกอาณาจักรแห่งราม ก็กลัวจะนึกถึงรามเกียรติกันอีก) มีอีกอาณาจักรนึงครับ ที่รุ่งเรืองมาในเวลาไล่เลี่ยกัน ท่ามกลางหุบเหวที่อุดมสมบูรณ์และพื้นที่ที่ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อาณาจักรโบราณนี้นับเวลาย้อนหลังไปได้ไกลกว่าราชวงศ์เก่าของอียิปต์เสียอีก นักประวัติศาสตร์เรียกขานชื่อของอาณาจักรลึกลับนี้ว่าโอสิเรียน หรือ Osirian civilization ครับ






          ปูพื้นกันนิดสำหรับความเป็นมาของอาณาจักรนี้ อารยธรรมโอสิเรียนจะเกิดขึ้นไม่ได้อย่างเด็ดขาด หากขาดแม่น้ำไนล์ไป เอ๊ะ... แม่น้ำไนล์มาเกี่ยวอะไรด้วยงั้นเหรอครับ เรื่องมันเป็นงี้ แม่น้ำไนล์(ซึ่งในบางครั้งเรียกแม่น้ำ Styx)นั้นมีต้นกำเนิดจากทวีปอาฟริกา มีส่วนที่ไหลลงทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ทางตอนเหนือของอียิปต์ กระแสน้ำได้พัดดินตะกอนทับถม (รวมทั้งกร่อนส่วนที่กร่อนได้) จนเกิดเป็นหุบและทะเลสาบขนาดใหญ่ขึ้น ตรงบริเวณพื้นที่ระหว่างมัลต้าและซิซิลีในปัจจุบัน ครอบไปถึงซาร์ดิเนียในมหาสมุทรแอตแลนติคตรงบริเวณที่เรียกว่าเสาหินของเฮอร์คิวลิส (ช่องแคบยิบรอลตานั่นล่ะครับ ^.^ ) หลังจากที่แอตแลนติสจมลงสู่ก้นมหาสมุทร กระแสน้ำที่เปลี่ยนทิศจากมหาสมุทรแอตแลนติค ก็ได้ทำให้ดินแดนบริเวณอ่าวเมดิเตอร์เรเนียนจมลงอย่างช้าๆ กวาดเอาซากแห่งความรุ่งเรืองของอาณาจักรโอสิเรียนลงไปเฝ้าเทพโปเซดอนที่ก้นมหาสมุทรด้วย 
      ในวงการโบราณคดีแล้ว เป็นที่ทราบกันดีว่ามีซากเมืองจำนวนมาก(อย่างน้อยๆก็ 200 เมือง)ที่จมอยู่ใต้ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อารยธรรมของอียิปต์เก่า, มิโนอันกับไมซีเนียนแห่งครีต รวมไปถึงเมืองน้อยใหญ่ของชาวกรีกก็รวมอยู่ในจำนวนนั้นด้วย มาถึงตรงนี้บางท่านก็อาจจะงงว่าทำไมตูข้าไม่เคยได้ยินชื่อของอาณาจักรหรืออารยธรรมที่ว่านี้มาก่อน อันนี้มีสาเหตุครับ เรื่องของเรื่องมันอยู่ที่นักคิดนักเขียนเป็นจำนวนมาก ได้เหมารวมเอาอารยธรรมโอสิเรียนให้เป็นหนึ่งในอารยธรรมของแอตแลนติส ทั้งที่ความจริงมันไม่ใช่ หลักฐานที่หลงเหลือของอาณาจักรโอสิเรียนคือสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมา ที่มีขนาดไม่แพ้มหาวิหารในบาลเบ็คของเลบานอน เสาที่หลงเหลือจากแผ่นดินไหว แนวกำแพงยาวเหยียดใต้ก้นมหาสมุทร รวมไปถึงร่อยรอยของสิ่งก่อสร้างลึกลับในเกาะมัลต้าด้วย

About this blog

10 สุดยอดอาณาจักร อารยธรรมโบราณ !
ขับเคลื่อนโดย Blogger.
You can replace this text by going to "Layout" and then "Page Elements" section. Edit " About "

Followers